มัคคุเทศน์ภาษาอินโดนีเซีย ล่ามแปลภาษาอินโดนีเซีย
ชื่อนามสกุล:เลี่ยวจ่วนอวิ้น
สัญชาติ:อินโดนีเซีย
ฉันชื่อเลี่ยวจ่วนอวิ้น รู้จักฉันจะ“โชคดี”ฉันจะบอกเช่นนี้เวลาที่แนะนำตัว
ฉันเป็นชาวอินโดนีเซียทายาทรุ่นที่สามชาวจีนโพ้นทะเล แต่งงานมาใช้ชีวิตอยู่ในไต้หวัน หลังคลอดลูกแล้วจึงเริ่มเรียนภาษาจีนกลาง ฉันกับสามีรู้จักกันในอินโดนีเซีย เวลานั้นฉันเป็นหัวหน้าควบคุมคุณภาพ สามีถูกส่งตัวมาทำงานในโรงงานที่ฉันทำงานอยู่
หลังแต่งงานมาไต้หวันได้ไม่นาน เราก็มีลูกคนแรกด้วยกัน ชีวิตของฉันเริ่มลำบากต้องเผชิญกับปัญหาการปรับตัวต่างๆในไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ(ในอินโดนีเซียไม่มีฤดูหนาว) อาหารการกิน การอบรมเลี้ยงดูบุตร ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ ฯลฯที่ถาโถมกันเข้ามา หนึ่งในปัญหาสำคัญที่สุดคือสื่อสารกันไม่ได้
ฉันเป็นคนรับผิดชอบเรื่องลูก ทุกครั้งที่ไปลำพังพาลูกไปฉีดยาที่โรงพยาบาล ต้องไปให้ถึงโรงพยาบาลแต่เช้า ค่ำจึงจะได้กลับบ้าน เวลานั้นที่โรงพยาบาลไม่มีบริการเจ้าหน้าที่ล่ามแปล ฉันอ่านแบบฟอร์มของโรงพยาบาลไม่ออกต้องให้เจ้าหน้าที่พยาบาลช่วยเหลือ แต่ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่พยาบาลก็มีงานยุ่งไม่สามารถช่วยเหลือได้ทันที เวลานั้นฉันเห็นผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่คนอื่นที่มีสามีไปเป็นเพื่อนพาลูกไปฉีดยาแล้วรู้สึกอิจฉาอยากเป็นเช่นนี้บ้าง
ปี2007 เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ หลังจากที่สามีของฉันถูกเลิกจ้าง ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนเป็นลำบากมากขึ้น ฉันอยากหางานทำแต่ภาษาสื่อสารกันไม่ได้และไม่มีใครช่วยดูแลลูก แรกเริ่มเพียงต้องการหาเงินเล็กๆน้อยๆเพื่อใช้จ่ายในชีวิต ฉันหาโอกาสหางานทำโดยผ่านคนรอบตัวหรือเพื่อนที่โบสถ์ ตอนนั้นที่โบสถ์มีแม่ของเพื่อนคนหนึ่ง หลังผ่าตัดกลับบ้านไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อน หวังว่าฉันจะพาลูกๆสองคนไปอยู่เป็นเพื่อนและช่วยเหลือทำความสะอาดบ้าน นี่จึงเป็นงานแรกที่ฉันทำ
ต่อมาฉันมีโอกาสรู้จักนักสังคมสงเคราะห์คนหนึ่ง ภายใต้การชี้นำจากเธอทำให้ฉันรู้ถึงนโยบายสวัสดิการทางสังคมมากมายของรัฐบาลและงาน“การบริการพักใจ”ในปี2009ฉันได้เข้าร่วมทำงานในบริการพักใจและคิดว่าไม่นานคงออกจากงานนี้ คิดไม่ถึงว่าฉันยังคงทำงานนี้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนภาคฤดูหนาวจะมีคนยื่นขอมากที่สุด ฉันจะนำรายกรณีที่ดูแลกลับไปดูแลที่บ้านเล่นกับลูกชายของฉัน ที่นี่ทำให้ฉันรู้จักหลายกรณีที่มีภูมิหลังครอบครัวที่ต่างกัน เรื่องราวของพวกเขาทำให้ฉันยิ่งเห็นคุณค่าในทุกสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ จากนักสังคมสงเคราะห์ทำให้ฉันได้ทำงานเป็นล่ามแปลของมูลนิธิสวัสดิการสังคมไช่เจินจูอีกด้วย ยังเป็นล่ามของสมาคมผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่กรุงไทเป ศูนย์บริการสาธารณสุขกรุงไทเป สถานีบริการตรวจคนเข้าเมืองกรุงไทเป สถานีตำรวจและล่ามแปลพิเศษของศาลสูง
ฉันเรียนภาษาจีนกลางจากการเป็นอาสาสมัคร ช่วงที่ลูกเรียนอนุบาลฉันเป็นอาสาสมัครอ้ายชินมาม๊า คุณครูเล่านิทานอยู่ด้านหน้า ฉันจะอยู่ด้านหลังฟังไปด้วยเรียนภาษาจีนกลางไปด้วย ยังเรียนรู้ว่าครูสอนเด็กๆในชั้นเรียนอย่างไร กลางคืนฉันจะไปเรียนต่อที่โรงเรียนเสริมโดยพาลูกทั้งสองคนไปด้วย ขอบคุณครูที่โรงเรียนเสริมที่เวลานั้นไม่ปฏิเสธฉัน
เมื่อก่อนฉันรับงานแปลเอกสารด้วย แต่หลังจากที่มีปัญหาด้านสายตายาวแล้วก็ไม่ได้รับงานอีกและเคยเป็นครูสอนภาษาอินโดนีเซียในโรงเรียน4 ปี ทุกครั้งที่ต้องนำทัวร์อินโดนีเซียไม่สามารถหาครูสอนแทนได้ สุดท้ายก็ล้มเลิกการเป็นครู และยังเคยทำงานด้านแอดมินในสำนักงานวิจัยและพัฒนาวิทยาลัยพยาบาลชินเตี้ยนเกิงเซิง ตอนนี้ลูกๆกำลังเรียนมหาวิทยาลัยต้องการรายได้ที่มั่นคง ฉันจึงไปทำงานในบริษัทจัดหางาน ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ยังรับงานเคสของบริการพักใจ หากมีเวลาก็จะรับกลุ่มทัวร์นักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซียที่มาท่องเที่ยวในไต้หวัน ขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือล่ามแปลภาษาอินโดนีเซียให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและศาลสูงด้วย
ถึงปัจจุบันฉันมาไต้หวันได้23ปีแล้ว มองย้อนกลับไปดูช่วงเวลาแห่งความลำบากเหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะมีความลำบากแต่ก็คุ้มค่า ลูกๆที่ร่วมเดินเป็นเพื่อนก็เข้าใจและรับรู้ถึงความยากลำบากที่แม่เลี้ยงดูพวกเขาจนเติบใหญ่ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในไต้หวันรัฐบาลให้ความสำคัญกับพวกเรามากและยังดูแลผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่อย่างดีเช่นกัน เพียงแต่เรายินยอมที่จะเรียนรู้ ยินยอมที่จะก้าวเดินออกมา ก็จะพบว่ายังมีอีกหลายคนที่ยินยอมจะช่วยเหลือพวกเรา ทุกคนสู้สู้ด้วยกันนะ!